ผลไม้ให้คุณ..ประโยชน์
ผลไม้รสเปรี้ยวใครที่กำลังควบคุมน้ำหนัก แต่ปฎิเสธการไปงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ไม่มีอาหารไขมันต่ำอยู่ในเมนูไม่ได้ ลองสั่งน้ำมะนาวคั้นสดมาจิบหรือส้มสดฝานแล้วสัก 4-5 ชิ้น มากินเสริมบ้าง เพราะกรดธรรมชาติจากผลไม้เหล่านี้จะช่วยย่อยไขมันและช่วยให้ร่างกายย่อย อาหารดีขึ้น
กล้วย ผลไม้เบสิกๆ แบบนี้ ใครๆ ก็รู้ว่ามีประโยชน์มากมาย แต่เชื่อหรือไม่ว่า กล้วยสามารถช่วยล้างลำไส้ได้เป็นอย่างดี เพราะอุดมไปด้วยธาตุโปแตสเซียมและวิตามินซี และยังให้พลังงานสูง ดังนั้นควรกินกล้วยให้ได้วันละ 1 ลูกเป็นประจำทุกวัน
แหล่งที่มาของภาพ :: http://www.rebelhome.net/apples2.jpg
แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเพกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมาก ซึ่งมันจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ แต่อย่าปอกเปลือกเชียวนะ
สับปะรด มีเอนไซม์โปรตีนสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ที่สึกหรอช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยกำจัดน้ำมูก
แตงโม มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมงจะทำให้คุณได้ประโยชน์ สุงสุด เนื่องจากเปลือกของมันอุดมด้วยคลอโรฟิลล์ และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน น้ำแครนเบรอรี่คั้น สำหรับผู้ที่มีอาการติดเชื้อที่ท่อปัสสาวะง่าย แนะน้ำให้ดื่มน้ำแครนเบอรี่คั้น 1 แก้วทุกวัน เพราะสารพฤกษ-เคมีที่อยู่ในผลไม้ชนิดนี้จะช่วยป้องกันอาการติดเชื้อที่ไม่ พึงปรารถนาต่างๆ ได้ คุณอาจจะผสมน้ำแครนเบอรี่คั้นกับเครื่องดื่มแก้วโปรดเพื่อให้ได้ค็อกเทล แสนอร่อย หรือเป็นเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยก่อนอาหารก็ได้
มะละกอ / มะม่วง มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อ ปาเปนซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัว ได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดและช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ายังช่วยลดอาการ ซึมเศร้าได้อีกด้วย
องุ่น เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่ออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆ ในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใข้ได้ง่าย อุดมไปด้วยเกลือแร่ ดังนั้น ช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ ในร่างกาย
ฝรั่ง อุดม ไปด้วยวิตามินซี ซึ่งมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัย ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม
สตรอเบอร์รี่ เป็นผลไม้เมืองหนาว เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์และไขข้ออักเสบ นั่นเป็นเพราะว่า สตรอเบอร์รี่มีคุณสมบัติในการชำระล้างระบบต่างๆ ในร่างกาย นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่เป็นความดันโลหิตสูง การแพทย์แผนโบราณแนะนำให้ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในไตรับประทานสตอรเบอร์รี่ ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางและร่างกายอ่อนเพลีย ก็สามารถทานได้เพราะมีเหล็กสูง
ลำใย มีสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลกลูโคส ซูโคสและฟรุกโตสและมีวิตามินชนิดต่างๆ เช่น วิตามินซีวิตามินบ 1, 2 สูง เนื้อลำใยมีรสหวาน มีสรรพคุณแก้ผอมแห้งแรงน้อย นอนไม่หลับ ขี้ลืม ใจสั่น บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยบำรุงกำลังของสตรี ช่วยย่อยอาหาร และบำรุงโลหิต
มะพร้าว น้ำ มะพร้าวเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางอาหารสูง รสหวาน หอม ชุ่มคอ ในน้ำมะพร้าวมีน้ำตาล โปรตีน โซเดียมแคลเซียม โปแตสเซียม ซึ่งไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจและโรคไต สรรพคุณเพิ่มเติมเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาะวะ แก้พิษ แก้กระหายน้ำ แก้นิ่ว แก้อาเจียนเป็นโลหิตและบวมน้ำ
ส้มโอ เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีวิตามินซีมาก เนื่องจากมีเปลือกหนาจึงทำให้เก็บไว้ได้นานกว่าส้มชนิดอืนๆ เป็นผลไม้ที่มีรสดีชุ่มคอ เนื้อส้มเปรี้ยวเย็นไม่มีพิษ สรรพคุณที่สำคัญคือ ละลายเสมหะ แก้ไอ บำรุงกระเพาะ ช่วยย่อย ลดบวมแก้ปวด
แก้วมังกร มี 2 ชนิด คือสีขาวและสีแดง แต่สีแดงจะมีรสหวานกว่า ประโยชน์ที่เด่นของแก้วมังกรคือ เป็นผลไม้ที่ช่วยลดน้ำหนักซึ่งเหมาะสำหรับคุณๆ ทั้งหลายที่ต้องการรักษารูปร่าง ไม่มีไขมันส่วนเกิน คุณค่าอาหารมีทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กวิตามินบี 1, บี 2, บี 3 แต่ที่เยอะทีสุดคือวิตามินซ๊ จึงช่วยทั้งในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ กระดูกและฟันแข็งแรง และช่วยในเรื่องของสายตาได้อีกด้วย
ขนุน เป็น ผลไม้ที่มีกลิ่นและรสชาติหอมหวาน เนื้อของผลขนุนมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร ช่วยดูดซึมแก้พิษจากการดื่มนมและยังช่วยแก้กระหายได้เป็นอย่างดี ใบของต้นขนุนตากแห้งสามารถใช้ห้ามเลือด และเป็นยาสมาแผลได้ ส่วนยางของขนุน มีสรรพคุณในการแก้ปวด ลดอาการอักเสบ บวม สามารถรักษาอาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบ และรักษาแผลเปี่อยเรื้อรังให้หายได้
ละมุด เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล วิตามิน เกลือแร่ชนิดต่างๆ รวมไปถึงการมีแคลเซียมสูง
ลิ้นจี่ อุดม ไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน มีสรรพคุณเป็นยาช่วยย่อยอาหาร บำรุงอวัยวะภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นม้าม หรือระบบประสาท หากนำเนื้อลื้นจี่ตากแห้งมาต้มกินเป็นประจำ จะช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคไส้เลื่อน หรือลูกอัณฑะบวมและยังรักษาโรคโลหิตจางได้อีกด้วย
มังคุด การบริโภคเนื้อมังคุดจะช่วยในเรื่องของการขับถ่าย และยังได้สารอาหารวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ อีกหลายชนิด เช่นน้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก เปลือกมังคุดก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วงเรื้อรัง ถ่ายเป็นมูกเลือด โดยการใช้เปลือกสดหรือเปลือกแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งต้มน้ำรับประทานก็ได้ผลเช่นกัน
หอมหัวใหญ่สด กินแล้วดี !!
สรรพคุณ และ ประโยชน์ของหัวหอมใหญ่
หอมหัวใหญ่ อีกหนึ่งพืชผักที่จัดว่ามีสรรพคุณและประโยชน์ของหัวหอมใหญ่ที่ เป็นสมุนไพรไทยชั้นหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ คุณพ่อบ้านแม่บ้านมักจะนำหอมหัวใหญ่ในการปรุงอาหารด้วยเพราะช่วยในเรื่องของ การไล่โรคหวัดได้ดีนักแล ยิ่งช่วงนี้ยิ่งมีไข้หวัด 2009 กันอยู่ด้วยต้องหันมารับประทานหัวหอมใหญ่กันเยอะนะจ๊ะ เอาล่ะวันนี้เราก็นำความรู้เรื่อง ประโยชน์ของหัวหอมใหญ่ และ สรรพคุณของหัวหอมใหญ่ มาฝากกันอีกด้วยค่ะ อย่ารอช้ามาดู ระโยชน์ของหัวหอมใหญ่ และ สรรพคุณของหัวหอมใหญ่ ค่ะ
หอมหัวใหญ่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ลดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ มีฤทธิ์มากในการขับสารพิษทั้งที่เป็นโลหะหนักและพยาธิ เควอเซทินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก
หอมหัวใหญ่ (Allium cepa) เป็นพืชในตระกูลเดียวกับกระเทียม อุดมไปด้วยธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน ซีลีเนียม บีตาแคโรทีน กรดโฟลิก และฟลาโวนอยด์เควอเซทิน
– โคเลสเตอรอลและความดันเลือดสูง
หอมหัวใหญ่มีผลคล้ายกระเทียมในการลดโคเลสเตอรอลและความดันเลือด มีสารไซโคลอัลลิอินที่สามารถละลายลิ่มเลือดได้
ผลการศึกษากลุ่มคนกินมังสวิรัติในประเทศอินเดียที่กินกระเทียม 10 กรัมต่อสัปดาห์ และกินหอมหัวใหญ่ 200 กรัมต่อสัปดาห์ มีปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์เฉลี่ย 172 และ 75 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ค่าดังกล่าวในกลุ่มควบคุม (ไม่ได้กินกระเทียมและหอมหัวใหญ่) คือ 208 และ 109 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ตามลำดับ
ส่วนการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัวในผู้ป่วยที่มีระดับไขมันเอชดีแอลในผู้ป่วย ดังกล่าวจากร้อยละ 20 เป็น 30 มีผลลดระดับโคเลสเตอรอลในภาพรวมและเพิ่มอัตราส่วนระหว่างไขมันเอชดีแอล (ไขมันดี) ต่อไขมันแอลดีแอล (ไขมันเลว) อย่างน่าพอใจด้วย
– ภูมิแพ้และหอบหืด
หอมหัวใหญ่มีความสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไลพอกซีจีเนสและไซโคลออกซี จีเนส ซึ่งสร้างสารพรอสตาแกลนดินและทรอมบอกเซนซึ่งเป็นสารก่อการอักเสบ เมื่อให้หนูตะเภากินสารสกัดแอลกอฮอล์ของหอมหัวใหญ่ 1 มิลลิลิตร พบว่าสามารถลดอาการหืดหอบจากการหดลองสูดดมสารก่อภูมิแพ้ได้
หอมหัวใหญ่มีเควอเซทินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฤทธิ์เชิงเภสัชวิทยาของมัน พบว่าเควอเซทินสามารถยับยั้งการปล่อยฮิสตามีนจากมาสต์เซลล์และยับยั้งการ สร้างสารที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ เช่นลิวโคทรีนได้
เควอเซทินพบมากที่สุดในผิวชั้นต้น ๆ ของหอมหัวใหญ่และพบมากกว่าในหอมหัวใหญ่สีม่วงและหอมแดงแต่ฤทธิ์ป้องกันอาการ หอบหืดและภูมิแพ้คาดว่ามาจากสารกลุ่มไอโซโอไซยาเนต
– เบาหวาน
หอมหัวใหญ่แสดงฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดในผลงานการศึกษาทางการแพทย์และทาง คลินิกหลายชิ้น สารออกฤทธิ์ในหอมหัวใหญ่เชื่อว่า เป็นสารอัลลิลโพรพิลไดซัลไฟด์ (Allyl propy disuldhide หรือ APDS) และมีฟลาโวนอยด์อื่นร่วมด้วย
หลักฐานจากการทดลองและสังเกตในคลินิกพบว่า APDS ลดระดับกลูโคสโดยแข่งกับอินซูลิน (ซึ่งเป็นไดซัลไฟด์เช่นกัน) ในการเข้าสู่จุดยับยั้งการทำงานโดยอินซูลิน (Insulin-inactivating sites) ในตับทำให้มีอินซูลินอิสระเพิ่มขึ้น
การกินหอมหัวใหญ่ 1-7 ออนซ์ (16 ออนซ์ประมาณครึ่งกิโลกรัม) มีผลลดปริมาณน้ำตาลในเลือดผลนี้พบทั้งในหอมหัวใหญ่ทั้งดิบและที่ต้มแล้ว
– หอมหัวใหญ่กับภูมิคุ้มกัน
แคลเซียมมีการเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เอนไซม์ที่ ที-เซลล์ (T-cells) ใช้ในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมและช่วยเม็ดเลือดขาวในการทำลายและย่อย สลายไวรัส
ปกติแคลเซียมจะได้มาจากผลิตภัณฑ์นมซึ่งมีไขมันอิ่มตัวอยู่มาก ไขมันอิ่มตัวมักมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบ (Proinflamatory) ซึ่งมีผลในเชิงลบกับระบบภูมิคุ้มกันการกินหอมหัวใหญ่จึงได้แคลเซียมโดย ปราศจากไขมัน (ถ้าไม่กินเป็นหอมหัวใหญ่ชุบแป้งทอด)
หอมหัวใหญ่มี ธาตุอาหารสำคัญอื่น ๆ อีก ธาตุซีลีเนียมที่พบมากในหอมใหญ่มีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างแอนติบอดี ถ้าขาดธาตุนี้ร่างกายจะขาดความสามารถในการต้านการติดเชื้อที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ได้ นอกจากนี้ซีลีเนียมยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเอนไซม์กลูตาไทโอนเพอร์ออกซิ เดส เอนไซม์นี้ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระที่จะก่อให้เกิดการอักเสบในระบบต่าง ๆ ของร่างกายอีกด้วย
หอมหัวใหญ่อุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียมซึ่งเป็นธาตุที่มักพบได้น้อยในอาหาร ประจำวัน มีความสำคัญในการสร้างคอมพลีเมนต์ ซึ่งมีความสำคัญในการทำลายเซลล์มะเร็งและกำจัดไวรัส ตัวอย่างของคอมพลีเมนต์ ได้แก่ อินเทอฟีรอน นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังมีธาตุแมกนีเซียมซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของการสร้างพรอสตา แกลนดินและการควบคุมปริมาณฮิสตามีน
นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่มีธาตุกำมะถันช่วยให้เอนไซม์ตับทำงานขับสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
ตำราอาหารโยคะบำบัดจากประเทศอินเดีย กล่าวไว้ว่า ในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องให้กินหอมหัวใหญ่วันละ 1 หัว เพื่อป้องกันพยาธิทั้งเซลล์เดียวและหลายเซลล์ อาจเติมในโยเกิร์ต สลัด ผักนึ่ง หรือในข้าวก็ได้ และกินนมแพะสีทองเพื่อป้องกันแบคทีเรีย ไวรัสเสริมฤทธิ์ต้านอักเสบและกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
บิสกิตสำหรับคอกาแฟ
ขอนำเสนอบิสกิตแบบฝรั่งสำหรับคนที่ไม่ชอบความหวานของน้ำตาล
ฝรั่งชอบกินกันมาก มีหลากหลายรูปแบบให้เราเลือกซื้อหา
มีแบบแท่ง แบบรูปสัตว์น่ารักนาๆ ชนิด และรูปสัตว์นี่ลดปริมาณเกลือด้วยนะ
แล้วแบบนี้เหมือนขนมเกลียวป้าแอ๊นท์ แต่กรอบและเค็มกร่อยอร่อยดี
และนายเต้าหู้ขอแนะนำให้กับ “คอกาแฟ” ทุกท่าน
มัน Work สุดๆ กับคอกาแฟเลยแหละ… ลองดูกันนะจ๊ะ
คุณค่ากรดไขมันโอเมก้า3 จากปลาทะเล
โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นปัญหาสุขภาพที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการบริโภค ทำให้ระดับไขมันในเลือดเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง น้ำมันปลาจึงถูกนำมาใช้ในการช่วยลดระดับไขมันชนิดนี้
โดยทั่วไปในเนื้อปลามีโปรตีนประมาณร้อยละ 17-23 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ จึงทำให้ระบบการย่อยอาหารของเราไม่ต้องทำงาน หนัก ปลาเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เราจัดปลาไว้ในอาหารหลักหมู่ที่หนึ่งในประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ นม และถั่วโปรตีนในเนื้อปลาจะถูกนำไปใช้ในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อีกทั้งยังประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย
ไขมันจากเนื้อปลาทะเลมีองค์ประกอบแตกต่างจากน้ำมันพืชทั่วไป คือ ไขมันจากปลาทะเลจะมีกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะกรดไขมันประเภทโอเมก้า-3 ซึ่งมีอยู่ปริมาณมาก กรดไขมันที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่กรด โดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic Acid : DHA) และกรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (Eicosapentaenoic Acid : EPA)
เนื้อเยื่อของปลามีน้ำมันหรือไขมันแตกต่างจากไขมันสัตว์ชนิดอื่น เนื่องจากอาหารของปลา คือแพลงตอนและสาหร่าย ซึ่งหลายชนิดสามารถสังเคราะห์ไขมันกลุ่มโอเมก้า- 3 ได้ นอกจากนี้เมตาบอลิซึ่มของปลาเองก็มีส่วนมากในการสร้างเสริมและรักษากรดไขมันเหล่านี้ไว้ ปลาทะเลที่มีมันมาก เช่น ปลาแซลมอล ปลาแมคเคอเรล ปลาเทราท์ ปลาทูน่า มีไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 สูงถึง 1 – 4 กรัม/เนื้อปลา 100 กรัม
ปลาทะเลจะมีโอเมก้า- 3 มากกว่าปลาน้ำจืด เพราะแพลงตอนและสาหร่ายในน้ำจืดสังเคราะห์โอเมก้า- 3 ได้น้อยกว่าแพลงตอนและสาหร่ายในน้ำเค็ม นอกจากอาหารของปลาจะเป็นตัวส่งเสริมให้ปลาสร้างโอเมก้า-3 แล้ว กระบวนการเผาผลาญอาหารของปลายังเป็นกระบวนการที่สามารถรักษาคุณค่าของโอเมก้า-3 ที่ร่างกายผลิตขึ้นมาได้อย่างดีอีกด้วย
น้ำมันปลาเป็นน้ำมันที่สกัดมาจากส่วนหัวหรือเนื้อปลาทะเลและจะมีปริมาณ DHA และ EPA แตกต่างกันไปตามชนิดของเนื้อปลา โดยพบว่าในจำนวนมิลลิกรัม/100 กรัม ปลาแซลมอน มีปริมาณ DHA 748 มิลลิกรัม และ EPA 492 มิลลิกรัม
ความสำคัญของโอเมก้า-3 อยู่ที่กรดไขมันที่ชื่อ EPA และ DHA เพราะ EPA มีคุณสมบัติในการลดปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือด ทำให้เลือดมีการแข็งตัวช้าลง จึงช่วยลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือดได้
คุณประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า-3
ปลามีไขมันต่ำและมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหรือที่เรียกว่าโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายซึ่งเราไม่สามารถสร้างเองได้ นอกจากกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีอยู่ในปลาช่วยป้องกันการสะสมตัวของไขมันอิ่มตัวหรือคอเลสเตอรอลอันเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดอุดตัน ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองแตกได้ กรดไขมันโอเมก้า-3 ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากได้แก่
ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
จากการวิจัยในปี 1998 พบว่าการบริโภคปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจลงได้ นอกจากนั้น จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยโอเรกอนยังระบุว่าในไขมันปลามีกรดไขมันอีพีเอ (EPA) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า- 3 ที่ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดและลดระดับไตรกลีเซอไรด์ลงได้ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยเช่นกัน
บำรุงสมอง
ผลวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่ากรดไขมันดีเอชเอ (DHA) ในโอเมก้า- 3 มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะในส่วนของความจำและการเรียนรู้
บรรเทาอาหารของโรคไขข้ออักเสบ
จากการวิจัยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าน้ำมันปลาช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบจนสามารถลดการใช้ยาบางส่วนลงได้
ลดการอักเสบของโรคผิวหนัง
การศึกษาวิจัยระบุว่าการกินปลาที่มีไขมันมากจะช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน (หรือโรคเรื้อนกวาง) เพราะปลามีวิตามินดีจากกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณมาก
ช่วยลดความเครียด
มีบางรายงานการวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันปลาว่าสามารถลดความเครียดในผู้ป่วยโรคประสาทที่มักจะอาละวาดทำให้อารมณ์เย็นลงได้
บรรเทาอาการซึมเศร้า
การศึกษาหนึ่งของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่าการขาด โอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อสมอง อาจเป็นสาเหตุทำให้คนมีอาการซึมเศร้า สมาธิสั้น และขาดความสามารถในการอ่านหนังสือได้
EPA
กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (Eicosapentaenoic Acid : EPA) เป็นกรดไขมันที่มีคุณสมบัติลดการสร้างลิโปโปรตีนในตับและลดปริมาณของคอเลสเตอรอลในกระแสโลหิต จึงป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ไม่สามารถหาได้จากไขมันในเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ผลของการศึกษาพบว่าปลาต่างๆ ทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืดมีองค์ประกอบของอีพีเอสูง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของไขมัน 0.15-10 เมื่อเปรียบเทียบการวิเคราะห์หาปริมาณของอีพีเอในอาหารหมู่เดียวกัน ไม่พบว่ามีในไข่ไก่ทั้งฟอง และไข่แดง แต่ในไข่ขาวพบ 0.96% และไม่พบในน้ำนมวัวและถั่วเหลือง จากสถิติขององค์การอาหารและเกษตร ของสหประชาชาติ (United Nations I God and Agriculture Organization) นอกจากนี้ มูลนิธิโรคหัวใจแห่ง อังกฤษ (The British Heart Foundation) รายงานว่าชาวญี่ปุ่นบริโภคปลามากที่สุดในโลกประเทศหนึ่งสูงถึง 73 ก.ก./คน/ปี มีอัตราการตายด้วยโรคหัวใจเพียง 100 คน ในประชากร100,000 คน เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น ชาวอังกฤษบริโภคปลาประมาณ 18 ก.ก./คน/ปี พลเมืองตายด้วยโรคหัวใจสูงถึง 500 คนในประชากร 100,000 คน
DHA
กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic Acid : DHA) สำหรับกรดไขมันดีเอชเอนี้มีส่วนพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า “กินปลาแล้วสมองดี” พบว่าสารดีเอชเอในผนังเซลล์ทั่วร่างกาย ช่วยทำให้เซลล์มีความไวต่อการรับสัญญาณประสาท นอกจากนั้น ยังพบว่ามี DHA ปริมาณสูงในจอตา และที่สำคัญที่สุดคือเป็นไขมันที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์สมองถึง 65% และกรดไขมันชนิดนี้เป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่ได้จากอาหารที่บริโภคคือจากปลา สมองมนุษย์มีไขมันชนิดนี้เป็นส่วนประกอบอยู่ครึ่งหนึ่งก่อนกำเนิด ส่วนที่เหลือจะได้มาในช่วงปีแรกของชีวิต เพราะฉะนั้นดีเอชเอจึงมีความสำคัญมากต่อสตรีในระยะตั้งครรภ์ และมารดาในระยะให้นมบุตรที่ช่วยให้สมองทารกพัฒนาและเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์
รู้หรือไม่ ?
น้ำมันจากเนื้อปลาทะเลแตกต่างจากน้ำมันตับปลา คือ น้ำมันตับปลาเป็นน้ำมันที่สกัดมาจากตับของปลาทะเลบางชนิด เช่น ปลาค็อด (cod fish) น้ำมันปลาเหล่านี้มีวิตามินเอและวิตามินดีในปริมาณสูง แต่ก็มีกรดไขมันพวกที่มีพันธะคู่ 1 พันธะเป็น
ปริมาณสูงด้วย ซึ่งการบริโภควิตามินเอและวิตามินดีมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเป็นพิษจากวิตามินเอและวิตามินดีได้ ซึ่งแตกต่างจากน้ำมันจากปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาเทราท์ ที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณสูง
ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ถึงแม้ปลาทุกชนิดจะมีค่าไขมันและพลังงานต่ำกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น อย่างไรก็ตาม ชนิดของปลายังมีผลต่อปริมาณไขมันของปลาที่มีอยู่ในเนื้อปลาสดซึ่งผู้บริโภคควรเลือกทานตามความเหมาะสม นักวิจัยและนักโภชนาการแนะนำว่าวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มกรดโอเมก้า-3 ในอาหารคือเพิ่มการรับประทานปลาแทนการรับประทานเนื้อสัตว์บก และการรับประทานปลาทะเล สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะสามารถป้องกันโรคดังกล่าวได้
กล้วยหอมผลไม้อุดมคุณประโยชน์
ในกล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด คือ ซูโครส (sucrose) ฟรักโทส (fructose) และกลูโคส (glucose) ให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที โดยมีรายงานวิจัยยืนยันว่า กล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอต่อการทำงานถึง 90 นาที
จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซึม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะในกล้วยหอมมี tryptophan กรดอะมิโนโปรตีน ซึ่งร่างกายแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ในสตรีช่วงก่อนมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอย และก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย เช่น ปวดท้อง ปวดหัว ฯลฯ การกินกล้วยหอมช่วยได้ระดับหนึ่ง
ช่วยสู้โรคโลหิตจาง ธาตุเหล็กในกล้วยหอมกระตุ้นร่างกายให้ผลิตเฮโมโกลบินในกระแสโลหิต หยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ ส่วนที่เกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยหอมมีเกลือโพแทสเซียมเหลืองอยู่มาก เป็นตัวช่วยความดันเลือด ระดับที่หน่วยงานด้านอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้เป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง
กล้วยหอมยังมีประสิทธิภาพช่วยผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ เพราะวิตามินบี 6 บี 12 โพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่มีอยู่มาก ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน ในผู้มีอาการเมาค้าง (ซึ่งไม่ควรมีเพราะไม่ควรเมา)
สารวิตามินจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น และเพราะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด การกินกล้วยหอมสัก 1 – 2 คำ ระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น ยังทุเลาอาการแพ้ท้องได้
เส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยของลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี ลดปัญหาท้องผูก และสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีอยู่ยังช่วย ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แต่อีกด้านกรดต่างๆ ที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้
ส่วนภายนอก บรรเทาแผลยุงกัด หลังยุงกัดจนได้ตุ่มแดง ก่อนใช้ยาทาลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด ช่วยลดอาการคันหรือบวม
อ้วนจากทำงานมากเกินไป กล้วยหอมก็ช่วยได้ สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแลตและพวกโปเตโตชิพส์มากเกินไป และนั่นทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นกินกล้วยหอมสักเล็กๆ น้อยๆ ประมาณทุกๆ 2 ชั่วโมง จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก
เสริมสร้างพลังสมอง ข้อนี้อ้างอิงจากงานวิจัยอังกฤษที่ระบุว่า ในแคว้นมิดเดิลเซกส์ มีนักเรียนจำนวน 200 คนจากโรงเรียนทวิกเคนแนม บอกว่าสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมองสดชื่น โดยงานวิจัยพบว่าโพแทสเซียมในกล้วยหอมช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ
การรับประทานกล้วยหอมสุกเป็นประจำจะทำให้ร่างกายได้รับสารเพ็กติน โปรตีน วิตามินเอ วิตามินซี รวมถึงธาตุฟอสฟอรัสและแคลเซียม บำรุงสายตาให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ยับยั้งการเกิดโรคต่างๆ ในช่องปาก ลดการเกิดตะคริว และกล้วยหอมเป็นผลไม้เย็น ผ่อนร้อนได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
เอ็นไซน์ในแอปเปิ้ลเขียว
เป็นที่รู้กันดีว่าเอ็นไซน์ในแอปเปิลเขียว มีประโยชน์มากมาย หลายคนก็กินแอปเปิลเขียวเพื่อรักษาหุ่น เพระแอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการลดน้ำหนัก นอกเหนือไปจากวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แล้วในแอปเปิลหนึ่งผลจะให้พลังงานแก่คุณ เพียง 47 แคลอรี และยังมีเอ็นไซม์ที่ช่วยเผาผลาญสารอาหาร ทำให้ระบบย่อย และระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น พร้อมกันนั้นก็อุดมไปด้วยเพกติกสารคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งซึ่งสามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรียร้ายในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งตัวการที่ทำให้คุณเกิดอาการท้องร่วง และเพกติกสารคาร์โบไฮเดรตตัวนี้ยังสามารถช่วยลดความดันโลหิต และลดคลอเลสเตอรอลที่อุดตันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี กรดผลไม้ทำให้หายอยากอาหาร เนื่องจากกรดผลไม้ที่มีอยู่ในแอปเปิลสามารถช่วยควบคุม และยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนแห่งความอยากอาหาร ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลังจากคุณรับประทานแอปเปิลไปซักผลสองผลคุณจะไม่มีความรู้สึกอยากรับประทานอาหารอื่นใดอีกเลย นอกจากนี้กรดผลไม้ของแอปเปิลยังสามารถช่วยพยุงไม่ให้ระดับของโปรตีนในร่างกายลดต่ำลงและขณะเดียวกันก็ยังช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันถูกดึงมาเก็บสะสมไว้ในร่างกายเพิ่มเติมอีก
ในวารสารยูโรเปียนเรสปิเรทอรี ได้รายงานผลการศึกษาของนักวิจัยจากสถาบันวิจัยโรคหัวใจ และโรคปอดแห่งชาติ พบว่า เด็กที่ดื่มน้ำแอปเปิลอย่างน้อยวันละครั้งจะช่วยลดการหายใจเสียงดังฟืดฟาด อัน เป็นกลุ่มอาการของโรคหอบหืดลงได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับกลุ่มเด็กที่ดื่มน้ำแอปเปิลน้อยกว่าเดือนละครั้ง แต่ผลการศึกษาสรุปว่าการกินแอปเปิลสดไม่ได้ให้ผลอย่างเดียวกัน
ในการศึกษาครั้งนี้ได้ถามผู้ปกครองของเด็กนักเรียนอายุระหว่าง 5-10 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตกรีนนิชในกรุงลอนดอน เกี่ยวกับการกินผลไม้ของเด็กๆ และกลุ่มอาการของโรคที่เด็กแสดงอาการออกมา ในขณะที่ไม่มีรายงานที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มน้ำผลไม้แอปเปิล กับการลดลงของการมีอาการโรคหอบหืดจริงๆ แต่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการหายใจเสียงดังฟืดฟาดลดลง กับการดื่มน้ำผลไม้ชนิดนี้ มีผลค่อนข้างหนักแน่น การหายใจมีเสียงดังฟืดฟาดนั้นนับเป็นสัญญาณสำคัญอย่างหนึ่ง ที่แสดงว่าเด็กจะมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นโรคหอบหืด รายงานแจ้งด้วย ว่าน้ำแอปเปิลนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำแอปเปิลสด อาจเป็นน้ำแอปเปิลสกัดเข้มข้นก็ใช้ได้เหมือนกัน
เป็ดพะโล้เนื้อแน่นหนานุ่ม
เป็ดพะโล้… เนื้อแน่น รสชาติกลมกล่อมแสนอร่อย
ในภาพนี่ที่ร้าน ” ร่มไม้ริมนา ” พุทธมณฑลสาย 5
ทางเข้ามาตลาดดอนหวาย แหล่งท่องเที่ยวของ อ.สามพราน
หากท่านใดที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง หรือในกรุงเทพฯนายเต้าหู้ขอเชิญชวนให้มาชิม
เพราะไม่อร่อยเพียงแค่เป็ดอาหารจานปลา หม้อไฟต่างๆ อาหารผัดฉ่า แสบร้อนได้ที่เลยเชียวแหละ
ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม เพียงเลือกร้านนี้ กับบรรยากาศท้องทุ่งนาเขียวขจี สุขนี้….. ยากที่จะลืมเลือน
วิธีการทำเบคอน…
เบคอน (bacon) เป็นผลผลิตจากการแปรรูปอาหารคือเนื้อหมู นำมาหมักเค็ม รมควัน ก่อนหั่นให้ได้ความหนาพอเหมาะ ทั้งนี้ แบ่งเบคอนตามชิ้นส่วนของเนื้อที่นำมาทำได้ 3 ชนิด
2.เนื้อสันส่วนนอก (loin) นำมาทำเบคอนโดยใช้วิธีหมักชนิดไม่เค็มมากนัก แล้วบรรจุในไส้เทียมขนาดใหญ่ หรือใช้เนื้อสัน 2-3 เส้นผูกมัดด้วยเชือกให้แน่น มีลักษณะเหมือนไส้กรอกขนาดใหญ่ รมควันเพียงเล็กน้อย เป็นเบคอนที่มีราคาแพง เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันสูง เรียกว่า Canadian bacon 3.เนื้อส่วนคาง (jowl) หลังจากตัดแต่งให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม นำมาหมักรมควัน เก็บไว้ปรุงอาหารได้นาน เบคอนที่ทำจากเนื้อส่วนนี้มีรสชาติดี แต่มีไขมันสูงและค่อนข้างเค็ม เหมาะสำหรับชาวประเทศที่มีอากาศหนาว ต้องการบริโภคไขมันสูงเพื่อช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เบคอนที่ทำจากเนื้อส่วนนี้เรียกว่า jowl bacon square
ต่อไปนี้คือขั้นตอนการทำเบคอน
1.การเตรียมวัตถุดิบ เนื้อที่นำมาใช้ทำเบคอนให้ได้คุณภาพควรมีคุณสมบัติ มีไขมันบาง มีเนื้อแน่น หมูอายุ 8-9 เดือน ไม่เกิน 12 เดือน จะให้เนื้อที่ดี เพราะอายุช่วงนี้จะมีเนื้อแน่น ถ้าอายุมากไปเนื้อจะหยาบเหนียว หรืออายุน้อยไปเนื้อจะนุ่ม มันน้อยและมีน้ำมาก และต้องไม่มีกลิ่นเพศ (sexual odour) หมูเพศผู้ที่ผ่านการตอนแล้วจะให้เนื้อที่ดีสำหรับทำเบคอน เนื่องจากกลิ่นเพศน้อยและให้เนื้อส่วนพื้นท้องมาก ขณะที่หมูเพศเมียไม่เหมาะ เพราะต้องตัดเจียนส่วนเต้านมที่หน้าท้องออก นำเนื้อส่วนพื้นท้องและคางมาตัดแต่งให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วนำเข้าเครื่องรีดเพื่อให้ชิ้นหมูแบนสม่ำเสมอกัน เนื่องจากไขมันด้านหลังทำให้ชิ้นส่วนโค้งขึ้น และเพื่อช่วยให้ชิ้นเบคอนมีเนื้อที่มากขึ้น ไม่มีส่วนหนาเกินไป ปัจจุบันนี้นิยมเข้าแบบอัดให้มีความหนาสม่ำเสมอ หลังจากรีดให้บางแล้วนำเข้าเก็บในห้องเย็น เพื่อช่วยให้เนื้อมีความแข็งตัว ทำให้ง่ายต่อการตัดแต่ง นอกจากนี้ยังช่วยชะงักการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ที่ติดมากับชิ้นเนื้อ อุณหภูมิภายในชิ้นเนื้อประมาณ -1 องศาเซลเซียส
2.การตัดแต่ง เพื่อที่จะให้ได้ขนาดสม่ำเสมอกัน นิยมตัดแต่งให้มีรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยทั่วไปน้ำหนักประมาณ 2.7-4.5 ก.ก./ชิ้น
3.การทำความสะอาด เป็นการลดปริมาณจุลินทรีย์ที่ผิวหน้าของชิ้นเนื้อ อาจใช้วิธีฉีดน้ำเป็นฝอยหรือล้างขณะน้ำไหลแรงหรือล้างในน้ำเกลืออ่อนๆ
4.การหมัก ทำได้ทั้งหมักแห้ง หรือหมักโดยฉีดสารละลาย และหมักในถัง โดยใช้น้ำเกลือที่มีความเค็มมาก เพราะเนื้อมีไขมันสูง เมื่อหมักจนน้ำเกลือกระจายสม่ำเสมอในชิ้นเนื้อดีแล้ว นำเนื้อมาล้างกำจัดเกลือด้านนอกออก
5.การรมควัน อาจทำเป็น 2 ระยะ คือ ให้ความร้อนช่วงระยะเวลาแรก เพื่อให้ผิวหน้าแห้ง โดยให้มีการระบายอากาศออกจากตู้รมควัน อุณหภูมิที่ใช้ประมาณ 70-85 องศาเซลเซียส เวลา 2 ชั่วโมง หรือนำไปรมควันด้วยขี้เลื่อยที่ได้จากไม้เนื้อแข็ง ซังข้าวโพดหรือชานอ้อย อุณหภูมิขณะรมควันใช้ 57 องศาเซลเซียส เวลา 8 ชั่วโมง หรือจนกระทั่งอุณหภูมิภายในชิ้นเนื้อเป็น 53.5 องศาเซลเซียส
6.เก็บในห้องเย็น อุณหภูมิ -9.5 องศาเซลเซียส จนกระทั่งอุณหภูมิภายในประมาณ -2 ถึง -3.5 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 12-36 ชั่วโมง เฉลี่ยประมาณ 24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความหนาของชิ้นเนื้อ จากนั้นกดไม่ให้โค้งงอและง่ายต่อการหั่นเป็นชิ้นบาง เก็บไว้ในตู้เย็น พร้อมทอดหรืออบกินทุกเมื่อ
ที่มาของเนื้อหาดีๆ …. http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakk0TVRBMU1nPT0%3D§ionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBd09TMHhNQzB5T0E9PQ%3D%3D
กินมะเขือเทศอย่างไรได้ไลโคปีน (lycopene) สูง
ไลโคปีนเป็นสารประกอบที่ได้รับความสนใจเนื่องจากมีรายงานว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุด คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก รองลงมา คือมะเร็งปอด กระเพาะอาหาร นอกจากนี้ก็ยังแสดงให้เห็นประโยชน์ของการได้รับไลโคปีนในการลดความเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ (colon) ทวารหนัก คอหอย ช่องปาก เต้านม ปากเป็นต้น
ควรรับประทานมะเขือเทศสดหรือมะเขือเทศที่ผ่านการปรุงอาหารแล้ว
ความเชื่อที่ว่าของสดดีกว่าของที่ปรุงแล้ว ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป ในกรณีของมะเขือเทศเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า นอกจากนี้ความร้อนและกระบวนการต่างๆในการผลิตผลิตภัณฑ์มะเขือเทศยังทำให้ไลโคปีนเปลี่ยนรูปแบบ (จากไลโคปีนชนิด “ออลทรานส์”(all-trans-isomers)เป็นชนิด “ซิส” (cis -isomers)) คือ เป็นชนิดที่ละลายได้ดีขึ้น
มะเขือเทศสดและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ ชนิดใดให้ไลโคปีนสูงกว่ากัน
โดยทั่วไป ปริมาณไลโคปีนในผลไม้และมะเขือเทศสดจะไม่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนำมะเขือเทศสดไปผ่านกระบวนการผลิตให้อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์มะเขือเทศชนิดต่างๆ พบว่าปริมาณไลโคปีนสูงขึ้นมาก เนื่องจากมีการผ่านกระบวนการทำให้เข้มข้นขึ้น ดังนั้น อาหารอิตาเลียน พวกพิซซ่า สปาเก็ตตี้ ที่มีการแต่งรสด้วยซอส หรือผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) ที่ผลิตจากมะเขือเทศ จึงเป็นแหล่งให้ไลโคปีนที่ดี ดังในตาราง
ปริมาณไลโคปีนในมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ
มะเขือเทศสด = 0.88-4.20
มะเขือเทศปรุงสุก = 3.70
ซอสมะเขือเทศ(Tomato sauce) = 6.20
ซุปมะเขือเทศเข้มข้น(Tomato soup (condensed) = 7.99
น้ำมะเขือเทศ = 5.00 – 11.60
ซอสพิซซ่า (Pizza sauce) = 12.71
ซอสมะเขือเทศ (Tomato ketchup) = 9.90 – 13.44
มะเขือเทศผง = 112.63 – 126.49
ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) = 5.40 – 150
ที่มาข้อมูลดีๆ … http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=1
ปลาเผาเกลือ
สิ่งที่ต้องเตรียม
ปลา 1 ตัว
เกลือ 500 กรัม
แป้งสาลี 100 กรัม
น้ำนิดหน่อย
วิธีทำ
ทำความสะอาดปลา แล้วมาผสมแป้งกับเกลือ ใส่น้ำนิดหน่อยพอให้ส่วนผสมเกาะตัวกันเวลาเอาไปพอกบนตัวปลาจะได้ง่าย เสร็จแล้วจัดการพอกบนตัวปลาให้มิด หนาหน่อยไม่เป็นไรแต่อย่าให้เห็นตัวปลาแล้วเอาเข้าเตาอบ ส่วนเวลาอบขึ้นอยู่กับเตา หรือจะเอาไปเผาก็ได้ เวลาอบเสร็จเกลือจะแข็งมากให้เอาอะไรทุบออก ทานกับน้ำจิ้มรสเด็ด จัดจ้านอย่าบอกใคร
กระเทียม 1 หัว พริกสดสีเขียว1 กำมือ (หรือเอาแบบตามชอบ) น้ำตาล ครึ่งถ้วยตวง น้ำมะนาว 1 ถ้วย น้ำปลา 1 ถ้วย ใบสะระแหน่ 10-15ใบ เอาทุกอย่างปั่นรวมกันให้ละเอียด
You must be logged in to post a comment.